Home | CCTV | PPibox | Dynasat | PSI | GMM Z | SunBox | IPM | CTH | DTV | true | KU | เสาทีวี | IPTV | Multisat | C-BAND | เว็ปบอร์ด | เพิ่มจุด |
ทีวีดิจิตอล คืออะไร | |
โทรทัศน์ระบบดิจิทัล ป้ายบอกทาง, ค้นหา โทรทัศน์ระบบดิจิทัล หรือ โทรทัศน์ดิจิตอล (Digital television) คือการส่งผ่านของเสียงและวิดีโอโดยสัญญาณดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งความคมชัดของภาพและเสียง การส่งข้อมูลแบบนี้สามารถส่งข้อมูลได้มากกว่าแบบแอนะล็อกในหนึ่งช่องสัญญาณ จึงเรียกได้อีกอย่างว่า Multicasting การส่งสัญญาณเป็นแบบดิจิตอลจึงทำให้ได้คุณภาพของภาพและเสียงดีกว่าด้วย เช่น โทรทัศน์ระบบ HDTV ตรงกันข้ามอะนาล็อกก็ใช้กับสัญญาณโทรทัศน์อะนาล็อก หลายประเทศจะเปลี่ยนการรับสัญญาณโทรทัศน์จากระบบอะนาล็อกเป็นโทรทัศน์ระบบดิจิทัล เพื่อออกอากาศโทรทัศน์แบบอะนาล็อกได้ จึงใช้วิทยุคลื่นความถี่เดิม โทรทัศน์แต่เดิมใช้ระบบอนาลอก (analog) หรือเชิงเส้นทั้งในภาคการส่งสัญญาณและภาครับสัญญาณ แต่ต่อมาเมื่อระบบคอมพิวเตอร์ได้มีการพัฒนาอย่างกว้างขวางขึ้น จึงได้มีการนำระบบคอมพิวเตอร์นำมาพัฒนาใช้ในการช่วยโทรทัศน์ แต่ต่อมาได้มีผู้เล็งเห็นว่าหากนำ เทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์มาผสมผสานกับเทคโนโลยีของโทรทัศน์ คงจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลคอมพิวเตอร์นั้นใช้ส่งสัญญาณ และรับสัญญาณในระบบดิจิตอล ดังนั้น จึงได้ปรับปรุงโทรทัศน์ให้ใช้ระบบดิจิตอลด้วย เนื่องจากโทรทัศน์ใช้กันทั่วโลก การเปลี่ยนระบบจากอนาลอกเป็นระบบดิจิตอล จึงต้องเปลี่ยนทั่วโลก ซึ่งคณะกรรมการสหภาพโทรคมนาคมสากล (ITU) กำลังประชุมกันอยู่ โดยกำหนดมาตรฐานดังนี้ 1.ระบบแพร่ภาพดิจิตอลผ่านดาวเทียม (DVB-S The Digital Video Broadcasting Satellite System) , 2.ระบบแพร่ภาพดิจิตอลผ่านสายเคเบิล (DVB-C the digital cable eleliverly system) และ 3. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลภาคพื้นดิน (DVB-T the Digital Terrestrial เป็นระบบการรับส่งสัญญาณภาพและเสียงที่มีข้อมูลที่มีการเข้ารหัสเป็นดิจิตอล ทีมีค่า “0” กับ “1” เท่านั้น โดยมีกระบวนการต่าง ๆ ที่จะทำการแปลงสัญญาณภาพและเสียงให้เป็น ดิจิตอล มีการบีบอัดข้อมูล ทำการเข้ารหัสข้อมูล ก่อนที่จะทำการมอดูเลตข้อมูลดิจิทัลเหล่านี้เพื่อส่งผ่านตัวกลางไปสู่ผู้รับปลายทาง ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับโทรทัศน์ระบบอะนาล็อก เมื่อสัญญาณดิจิตอลถูกส่งมายังเครื่องรับโทรทัศน์ จะผ่านกระบวนการบีบอัดข้อมูลสัญญาณดิจิตอล โดย MPEG-2 หรือ MPEG-4 ทำการถอดรหัส หลังจากนั้นสัญญาณจะถูกส่งไปยังหลอดภาพ แล้วหลอดภาพจะยิงลำแสงออกไปยังหน้าจอโทรทัศน์ ทำให้เกิด Pixel (จุดภาพ) บนจอภาพ ซึ่งในระบบ HDTV นั้นจะให้ภาพที่มีความละเอียดของ Pixel สูงกว่าโทรทัศน์ทั่วไปมาก จึงทำให้ภาพที่ออกมามีความคมชัด ละเอียด และไม่มีการกระพริบของสัญญาณภาพ ลักษณะการยิงลำแสง แบ่งได้ 2 แบบ คือ Interlaced Scanning และProgressive Scanning 480i/576i (SDTV) เป็นสัญญาณโทรทัศน์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นแบบดิจิทัล คอมพิวเตอร์เข้ามาในโทรทัศน์ได้อย่างไรในระยะแรกคอมพิวเตอร์เข้ามาในวงการโทรทัศน์เพื่อมาช่วยในบริหารและการจัดการ เช่น คิดบัญชี ทำบัญชีสิ่งของ ทำบัญชีบุคลากร และการใช้เป็นเครื่องมือในสำนักงาน เป็นต้น ต่อมาก็ใช้ในการทำระบบอัตโนมัติในสำนักงาน ใช้ในการช่วยส่งข่าวบ้าง ใช้ในการบันทึกข้อความบ้าง ต่อมาเมื่อมีระบบกราฟิกเข้ามา ได้ใช้คอมพิวเตอร์ทำตัวอักษรและทำกราฟิคต่างๆ ตลอดจนช่วยในการทำภาพโฆษณาต่างๆ ตลอดจนช่วยในการทำภาพโฆษณา ภาพพิเศษต่างๆ ภาพที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นทำได้สวยงามวิจิตรพิสดารเป็นอย่างมาก เช่น ภาพนกกินหยดน้ำ นกที่ทำด้วยคอมพิวเตอร์สวยยิ่งนัก ทำให้เกิดภาพอื่นๆ ขึ้นมาอีกมากมายหลายแบบ จนกระทั่งทำให้ภาพนิ่งเคลื่อนไหวได้ (Animation) ตัวการ์ตูนตัวเดียว สามารถเคลื่อนไหวได้สารพัด ทำให้ สามารถสนองตอบจินตนาการของผู้สร้างภาพยนตร์การ์ตูน ได้เป็นอย่างดีทั้งนี้เพราะดิจิตอลสามารถเปลี่ยนแปลง และแปรผันได้ตามโปรแกรมที่จัดเข้ามา การบันทึกภาพในระบบอนาลอกนั้น เมื่อนำไปกระทำซ้ำต่อกันหลายครั้ง ภาพจะมีคุณภาพลดลง คือ ไม่ชัดเท่ากับต้นฉบับ แต่ในระบบดิจิตอลนั้นแม้จะนำไปกระทำซ้ำ ต่อเนื่องกันหลายสิบครั้งภาพก็ยังคงมีคุณภาพคงเดิม ด้วยข้อดีนี้จึงมีการนำเอาระบบดิจิตอล มาใช้ในเครื่องบันทึกภาพโทรทัศน์และเครื่องบันทึกภาพ แบบอื่นๆ ต่อมาได้มีการพัฒนากล้องโทรทัศน์ให้เป็นระบบดิจิตอลบ้าง การนำเอาดิจิตอลมาใช้กับกล้องโทรทัศน์นี้ มิใช่ว่าจะทำให้คมชัดอย่างเดียวเพราะกล้องที่คมชัดมากๆ ภาพจะไม่สวย เพราะจะเห็นสิวฝ้า ตลอดจนรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ชนิดที่เจ้าของหน้าเห็นเข้าอาจเป็นลมไปเลยก็ได้ แต่ดิจิตอลมีข้อดีตรงที่บังคับ และเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ เพียงกดปุ่มอัตโนมัติ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิวและรอยเหี่ยวย่นก็จะกลายเป็นหน้าที่มีผิวสีชมพูระเรื่อ ผิวเนียนอย่างนางงามผิวเนียนอะไรอย่างนั้น แต่ก็จะเป็นเฉพาะบางกล้องเท่านั้น เพราะกล้องดิจิอตอลที่คุณภาพต่ำก็มี แตถ้าคุณภาพสูง ภาพจะสวยแต่ราคาก็จะแพงมากเช่นกัน เมื่อกล้องก็เป็นดิจิตอลแล้วอุปกรณ์อื่นๆ เช่น เครื่องตัดต่อภาพ เครื่องลำดับภาพ เครื่องทำภาพพิเศษ เครื่องกำเนิดสัญญาณซิงค์ เครื่องกระจายสัญญาณและเครื่องควบคุมอื่นๆ ก็ได้รับการพัฒนาให้เป็นดิจิตอลไปด้วยรวมถึงทั้งอุปกรณ์ห้องส่ง หรืออุปกรณ์ห้องผลิตรายการทั้งหมด แม้แต่การบังคับไฟที่ให้แสงในการถ่ายทำก็บังคับด้วยดิจิตอล รวมความแล้ว่าระบบในห้องส่งโทรทัศน์ได้รับการพัฒนาให้เป็นระบบเป็นดิจิตอลทั้งหมด สายที่ส่งสัญญาณเข้ามาก็ถูกเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล แต่การส่ง สัญญาณ จากสถานีไปยังเครื่องรับโทรทัศน์ตามบ้านผู้ชมนั้นยังไม่ได้ ใช้ระบบดิจิตอล เพราะเครี่องรับโทรทัศน์ของผู้ชมยังเป็นอนาลอกอยู่ การที่จะเปลี่ยนเครื่องรับหลายพันล้านเครื่องให้เป็นระบบดิจิตอล โดยโยนเครื่องเก่าทิ้งหมดนั้นทำไม่ได้ เป็ฯการเดือดร้อนต่อประชาชนผู้รับชมแต่ความจำเป็นในการเปลี่ยนระบบก็ยังคงมีเพราะทุกวันนี้ความถี่วิทยุมีจำนวนจำกัด ส่วนสถานีวิทยุโทรทัศน์ตลอดจนการสื่อสารต่างๆ เกิดขึ้นทุกวันจึงมีความจำเป็นต้องใช้ความถี่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นระบบดิจิตอลจึงสามารถตอบรับความต้องการนี้ได้เป็นอย่างดีเพราะระบบดิจิตอลสามารถบีบอัดความกว้างของช่องสัญญาณให้ลดลง ทำให้สามารถเพิ่มช่องทางการส่งสัญญาณได้อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น ดาวเทียม 1 ดวงมี ช่อง สัญญาณดาวเทียม 12 ช่องสัญญาณถ้าจะส่งโทรทัศน์ในระบบอนาลอกไม่มีการบีบอัดสัญญาณจะส่งได้ ทั้งหมด 24 ช่องโทรทัศน์ คือ 2 ช่องต่อ 1 ทรานสปอนเดอร์ แต่ถ้าส่งในระบบดิจิตอลและมีการบีบอัดสัญญาณ (Compression) จะสามาระส่งได้ถึง 10 ช่อง โทรทัศน์ต่อ 1 ทรานสปอนเดอร์ ดาวเทียมดวงหนึ่ง 12 ทรานสปอนเดอร์ จะส่งโทรทัศน์ได้ถึง 120 ช่อง สายเคเบิลก็เช่นเดียวกัน ถ้าส่งในระบบอนาลอกก็จะส่งได้น้อยช่องกว่าส่งด้วย ระบบดิจิตอลที่มีการบีบอัดสัญญาณการส่งโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลนั้นได้เริ่มต้นโดยการส่งสัญญาณผ่านทางดาวเทียมและโทรทัศน์ทางสาย หรือ เคเบิลเทเลวิชั่น (Cable Television) และเนื่องจากระบบดิจิตอลนี้ ควบคุมได้ง่าย การสั่งการก็ง่าย จึงเกิดโทรทัศน์ 2 ทางขึ้นและเกิดรายการ เปย์เปอร์วิว (Pay Per View) หรือการรับชมรายการที่ต้องจ่ายเงินเป็นรายเรื่อง และเนียร์วีดิโอออนดีมานด์ (Near video on Demand) คือการรับชมตามเวลาที่กำหนดโดยต้องจ่ายค่าบริการเป็นรายเดือนและ วิดิโอออนดีมานด์ (Video on Demand) คือ การรับชมรายการใดก็ได้ตามรายการที่ระบุไว้โดยต้องจ่ายค่าบริการเป็นรายเดือน ส่วนการรับสัญญาณนั้นก็จำเป็นจะต้องให้เครื่องรับโทรทัศน์ที่ใช้อยู่เดิมรับได้ด้วย ดังนั้นหากใครต้องการที่จะรับโทรทัศน์จากดาวเทียมก็ต้องมีจานรับประกอบกับอุปกรณ์ร่วม คือ กล่องไออาร์ดี (IRD) ซึ่งต้องนำมาติดตั้ง กับเครื่องรับโทรทัศน์ก็จะสามารถรับโทรทัศน์ จากดาวเทียมในระบบดิจิตอลได้ ซึ่งเรารู้จักกันในนาม ดีทีเอช ( DTH ) หรือ ไดเร็คทูโฮม ( Direct to home ) โดยจานจะรับสัญญาณจากดาวเทียมมาขยายและส่งเข้ากล่องไออาร์ดี กล่องนี้จะแปลงสัญญาณดิจิตอลจากดาวเทียมให้เป็นสัญญาณโทรทัศน์ ในระบบอนาล็อกแล้วส่งไปยังเครื่องรับโทรทัศน์ ส่วนระบบเคเบิลทีวีก็มีกล่องอยู่ด้านหน้าหรือด้านบนของเครื่องรับโทรทัศน์เดิมเช่นกัน เรียกว่าเซททอปบ๊อก (Set top box) กล่องนี้ก็จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณโทรทัศน์ในระบบอนาล็อกและเปลี่ยนช่องสัญญาณส่งเข้าเครื่องรับโทรทัศน์ ส่วนการควบคุมการใช้ทางเคเบิลทีวีก็จะควบคุมจากรีโมทคอนโทรลและเนื่องจากเป็นระบบดิจิตอล การควบคุมก็จะทำได้อย่างสะดวก การสั่งฉายภาพยนตร์เรื่องที่ต้องการก็สามารถสั่งได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ หรือเปลี่ยนช่องสัญญาณได้ง่ายการปรับแต่งต่าง ๆ ทำได้ง่าย ๆ การพัฒนาโทรทัศน์ภาคพื้นดิน (Terrestial Television)ในขณะที่โทรทัศน์จากดาวเทียมขยายกิจการมากขึ้น มีการถ่ายทอดข้ามโลกและครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ทางเคเบิลทีวีก็พัฒนาระบบมากขึ้น มีการให้บริการมากขึ้น ทางโทรทัศน์ที่ส่งด้วยสายอากาศภาคพื้นดิน ก็ต้องขยับตัวเพราะต้องการช่องสัญญาณมากขึ้น การพัฒนาโทรทัศน์ภาคพื้นดินนั้น มีความพยายามที่จะเพิ่มสถานีโทรทัศน์ให้มากขึ้นโดยการใช้ช่องสัญญาณความถี่ในย่านยูเอชเอฟ นอกจากนั้นยังมีความพยายามทำโทรทัศน์ให้มีความคมชัดมากขึ้น และมีรายละเอียดมากขึ้นที่เรียกว่า เอชดีทีวี (HDTV) แต่ก็ต้องเลิกล้มไปเพราะเห็นว่าระบบที่พัฒนานั้นเป็นระบบอนาลอก ซึ่งจะพัฒนาต่อไปก็คงยากจึงหันมาพัฒนาโทรทัศน์ HDTVในระบบดิจิตอลแทน การส่งโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล (Digital)เดิมทีการส่งโทรทัศน์จะส่งในระบบอนาลอก ( Analog ) แต่เมื่อมีสถานีส่งโทรทัศน์มากขึ้นก็เกิดปัญหาการรรบกวนเกิดขึ้น เพราะความถี่มีจำนวนจำกัด การส่งโทรทัศน์ในระบบอนาลอกนั้น ในเมืองเดียวกันจะส่งความถี่ใกล้เคียงกันไม่ได้ ต้องส่งช่องเว้นช่อง เช่นใน กทม. ส่งช่อง 3 5 7 9 11 จะส่งช่อง 2 4 6 8 10 12 ไม่ได้ ถ้าจะส่งช่อง 2 4 6 8 10 12 จะต้องส่งให้ห่างจาก กทม. อย่างน้อย 200 กม. เช่นที่ นครสวรรค์ ระยอง หรือ ประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่น ๆ อีก อาทิ 1. สัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์ไฟฟ้าและแม่เหล็กอื่น ๆ ทำให้ภาพไม่คมชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องต่ำ ประโยชน์ของการส่งโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลการส่งโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลนั้นได้ประโยชน์หลายประการ เช่น 1.ทำให้ใช้ประโยชน์จากช่องสัญญาณได้มากขึ้น เช่น เดิม 1 ช่องใช้ได้ 1 รายการ เมื่อหันมาใช้ระบบดิจิตอล มีการบีบอัดสัญญาณ ( Digital Compression ) ก็จะสามารถส่งได้ถึง 4-6 รายการทางภาคพื้นดิน และ 8-10 รายการทางดาวเทียม 1. จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อเครื่องใหม่ซึ่งจะประมาณเท่ากับ 15 ล้าน คูณด้วย 1 หมื่นบาท เท่ากับ 1 แสนห้าหมื่นล้านบาท ปัญหาที่จะเกิดก็คือเครื่องเซททอป (SET TOP) ราคายังค่อนข้างแพง ถ้าเครื่องนี้มีราคาถูกลงก็จะทำให้คนรับโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลมากขึ้น ผู้ประกอบการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลจึงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อมีความจำเป็นต้องส่งออกอากาศให้ได้ ทุกฝ่ายก็ต้องหาทางเอาเองเช่น 1. ทำเครือข่ายเล็ก ๆ ซึ่งเมื่อคำนวณค่าเครื่องรับแล้วมีไม่เกิน 1000 เครื่อง ค่าใช้จ่ายก็คงไม่มาก มาตรฐานการส่งโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลการส่งโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลมีการส่งในมาตรฐานต่างกัน เช่น 1.ประเทศอเมริกาใช้มาตรฐาน เอทีเอสซี (ATSC) ซึ่งย่อมาจาก อเมริกัน แอดวานซ์ เทเลวิชั่น ซิสเต็ม ( AMERICAN ADVANCE TELEVISION SYSTEM ) ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1998 ระบบการส่งและการรับโทรทัศน์การส่งและรับโทรทัศน์ในอนาคตอันใกล้นี้ น่าจะเป็นดังนี้ 1. การส่งและรับโทรทัศน์ในระบบอนาลอกโดยคลื่นความถี่ภาคพื้นดิน (Terrestrial Television) โทรทัศน์แอนะล็อก (analog television) คือ โทรทัศน์ที่มีระบบการรับ- ส่งสัญญาณภาพและเสียงในรูปสัญญาณแอนะล็อกแบบ A.M. และ F.M เช่น โทรทัศน์ที่ระบบ NTSC PAL และ SECAM ซึ่งก็คือโทรทัศน์ทั่วไปที่ใช้ตามบ้านเรือน
| |
ผู้ตั้งกระทู้ ช่างติดตั้งเสาทีวี :: วันที่ลงประกาศ 2013-01-27 06:51:58 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3306759) | |
อุปกรณ์ที่ใช้ในการติดตั้งเพื่อรับทีวีดิจิตอลมีอะไรบ้าง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ช่าง เสาทีวี ช.การไฟฟ้า วันที่ตอบ 2013-01-27 07:00:31 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3306766) | |
นักวิชาการแนะเทคนิค ก้าวเข้าสู่ยุค‘ทีวีดิจิตอล’ ตอนนี้เรามีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว และเป็นความคาดหวังใหม่ของสังคม โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริโภค ที่ไม่ต้องการการถูกเอารัดเอาเปรียบจากภาคธุรกิจเหมือนในอดีตที่ผ่านมา นอกจากการควบคุมกิจการในด้านนี้แล้ว ภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นกับผู้บริโภค เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลที่จะเดินเข้ามาหาเราใน เร็ว ๆ นี้ การเตรียมความพร้อมในยุคของทีวีดิจิตอลนั้น สำหรับผู้บริโภคที่มีโทรทัศน์ที่รับสัญญาณผ่านเสาอากาศ ก็ต้องจัดหา อุปกรณ์ตัวแปลงสัญญาณที่เราเรียกว่า Set-Top-Box ที่จะแปลงสัญญาณจากอนาลอกมาเป็นดิจิตอล สำหรับทีวีที่มีจุดเชื่อมต่อเป็นแบบ สการ์ต (Scart) เวลาที่เราเลือกซื้อ Set Top Box นั้น ก็จะต้องพิจารณาดูว่า มีจุดเชื่อมต่อสำหรับ การต่อผ่านแผ่น สการ์ตหรือไม่ดังรูปที่ 1 ถ้าทีวีที่ไม่มีแผ่นสการ์ต แต่มีจุดเชื่อมต่อเป็น coaxial cable ก็ต้องเลือก Set-Top-Box ที่มีตัวรับตัวเสียบดังรูปที่ 2 ในกรณีที่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นดีวีดี หรือแอมปลิฟายเออร์ การเลือกซื้อ Set – Top- Box ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า มีจุดที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง แผ่นสการ์ต และจุดเชื่อมต่อแบบโคแอกเซียล ดังรูปที่ 3 รูปที่ 2 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นแบบสายโคแอกเซียล รูปที่ 3 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นทั้งแบบสายสการ์ตและสายแบบโคแอกเซียล
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ช่างติดตั้งเสาทีวี ช.การไฟฟ้า วันที่ตอบ 2013-01-27 10:32:12 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3306767) | |
เข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล ผู้บริโภคต้องเตรียมตัวอย่างไร ความรู้พื้นฐานที่ผู้บริโภคควรมีไว้กับตัวนั้น ผมนำมาจากความรู้ของคณะทำงานในการเตรียมตัวการเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลของเยอรมัน เนื่องจากประเทศเยอรมนีได้ก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลก่อนเราไปล่วงหน้าหลายปี องค์ความรู้ในด้านการเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนผู้ให้บริการ หน่วยงานกำกับดูแล และผู้บริโภค ประเทศเขาสามารถทำได้และทำร่วมกันได้เป็นอย่างดี เราสามารถขอหยิบยืมองค์ความรู้ของเขามาประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้ ก็จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีเป็นไปได้อย่างราบรื่น และเป็นภาระกับผู้บริโภคได้อย่างน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ตอนนี้เรามี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว และเป็นความคาดหวังใหม่ของสังคม โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริโภค ที่ไม่ต้องการการถูกเอารัดเอาเปรียบจากภาคธุรกิจเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา นอกจากการควบคุมกิจการในด้านนี้แล้ว ภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นกับผู้บริโภค เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลที่จะเดินเข้ามาหาเราในเร็วๆ นี้ การเตรียมความพร้อมในยุคของทีวีดิจิตอลนั้น สำหรับผู้บริโภคที่มีโทรทัศน์ที่รับสัญญาณผ่านเสาอากาศ ก็ต้องจัดหา อุปกรณ์ตัวแปลงสัญญาณที่เราเรียกว่า Set-Top-Box ที่จะแปลงสัญญาณจากอนาลอกมาเป็นดิจิตอล สำหรับทีวีที่มีจุดเชื่อมต่อเป็นแบบ สการ์ต (Scart) เวลาที่เราเลือกซื้อ Set Top Box นั้น ก็จะต้องพิจารณาดูว่า มีจุดเชื่อมต่อสำหรับ การต่อผ่านแผ่น สการ์ตหรือไม่ดังรูปที่ 1 ถ้าทีวีที่ไม่มีแผ่นสการ์ต แต่มีจุดเชื่อมต่อเป็น coaxial cable ก็ต้องเลือก Set-Top-Box ที่มีตัวรับตัวเสียบดังรูปที่ 2 บทสรุป ผู้บริโภคต้องเตรียมการสำรวจอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นอิเลคทรอนิกส์ ที่มีอยู่แล้วในบ้าน เช่น โทรทัศน์ เครื่องเล่นวีดีโอ เครื่องเล่นดีวีดี และแอมปลิฟายเออร์ ว่า มีจุดเชื่อมต่อกี่จุด และมีจุดเชื่อมต่อเป็นแบบใดแล้ว ผู้บริโภคก็ควรจะเลือกอุปกรณ์ Set Top Box ที่เหมาะสมสามารถที่จะต่อเชื่อมเข้ากับเครื่องเล่นอิเลคทรอนิกส์ ที่มีอยู่แล้ว โดยดูจากจุดเชื่อมต่อของ Set top box ว่าจะมีจุดเชื่อมต่อให้หลายจุดและเพียงพอหรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาต่อในเรื่องคุณภาพของสัญญาณ และราคา ในส่วนของ กสทช. ควรต้องกำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ Set Top Box ที่จะนำมาเสนอขายในท้องตลาด โดยกำหนดให้อุปกรณ์นั้นรองรับกับอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่มีอยู่ในครัวเรือนและที่ขายในตลาดบ้านเรา โดยเฉพาะการกำหนดจำนวนและประเภทของจุดเชื่อมต่อขั้นต่ำ ที่จะต้องมีจำนวนเพียงพอ เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ต้องรับภาระมากเกินไปในการจัดหาอุปกรณ์เสริมและสายสัญญาณต่างๆ ที่จะต้องใช้ในการรับสัญญาณระบบดิจิตอลที่ได้เริ่มมีการทดลองออกอากาศกันบ้างแล้ว
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ช่างติดตั้งสายอากาศทีวี ช.การไฟฟ้า วันที่ตอบ 2013-01-27 10:48:44 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3306768) | |
เมื่อวันที่ 24 มกราคม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ร่วมกับเครือเนชั่น จัดสัมมนา ก้าวสู่สังคมไร้สายอย่างปลอดภัย ในหัวข้อ "อนาคตสื่อไทยเตรียมรับมือโลกยุคดิจิตอล" เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและรับมือโลกข่าวสารที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานเครือเนชั่น กล่าวปาฐกถาว่า การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของคนกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยมาจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้ง 3จี และบริการทีวีดิจิตอล ซึ่งทั้ง 2 เทคโนโลยีจะเปิดให้บริการในปีนี้ โดยชี้ว่าไม่มีใครที่จะสามารถยับยั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง 3จี หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่กำลังแพร่ขยายออกไปทั่วโลก "เรากำลังเผชิญกับพายุที่มาทุกทิศทาง ซึ่งผมเรียกว่า เพอร์เฟกต์ สตรอม เรากลับไม่ได้ ต้องไปข้างหน้าอย่างเดียว ในฐานะคนทำสื่อ เราต้องเดินหน้า แล้วนำเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังถาโถม นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นในปี 2556 นี้ จะเป็นปีแห่งการพลิกโฉมการรับรู้ข่าวสารในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยผู้บริโภคจะรับรู้ข่าวสารผ่าน 4 จอ คือ ทีวี คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโมบาย ซึ่งข่าวสารจะมีแนวโน้มส่งผ่านอุปกรณ์โมบายมากยิ่งขึ้น และตลอดเวลา" นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า จากนี้เทคโนโลยีอย่างดาวเทียม เคเบิลทีวี อินเทอร์เน็ต 3จี และดิจิตอล ทีวี จะถูกหลอมรวมผ่านแพลตฟอร์มที่แตกต่าง ผู้บริโภคจะมีทางเลือกในการรับรู้ข่าวสารได้มากขึ้น ซึ่งอาจเกิดปัญหาในเรื่องความลึกของข้อมูล โดยผู้ที่จะทำหน้าที่ในการคัดกรองข้อมูลที่มีจำนวนมากก็คือคนทำสื่อ ซึ่งถือเป็นความท้าทายของคนทำสื่อยุคนี้ "บริการ 3จี เต็มรูปแบบที่จะเปิดให้บริการ ทำให้คนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของเครือเนชั่นในทุกนาที เรามีทัพนักข่าวมากกว่า 400 คน ที่มีทวิตเตอร์ แอคเคานท์ มีคนติดตามรวมๆ กันมากกว่า 2 ล้านคน นั่นหมายความว่า ข่าวสารจะถูกส่งไปหาผู้คนเป็นล้านๆ คนในทุกๆ ที่ ทุกๆ เวลา" นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า อิทธิพลของโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กจะส่งผลกระทบต่อการปรับตัวของสื่อในยุคนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่โซเชียลเน็ตเวิร์กยังสามารถสร้างจุดกระแสความไม่มีตัวตนบนโลกจริง ให้กลายเป็นคนที่มีตัวตน โซเชียลมีเดีย ยังเป็นสื่อที่มีอิทธิพล ผมให้คำจำกัดความของ ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ยูทูบ หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ ว่า เป็นจัตุรัสกลางเมือง ที่ใครก็สามารถมาหยุดพักเพื่อสนทนาในเรื่องต่างๆ ได้ ทั้งนี้ เครือเนชั่นมีความพร้อมทั้งบุคลากร เครื่องมือ เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการรุกเข้าสู่โซเชียลทีวีอย่างเต็มรูปแบบ การจัดตั้งคอนเวอร์เจนท์ นิวส์รูม ที่เป็นการหลอมรวมทุกสื่อเข้าไว้ด้วยกัน และนำข้อมูลข่าวสารไปสู่ทุกช่องทาง ทุกแพลตฟอร์ม ถึงมือผู้รับสาร ทั้งนี้ภายใต้การทำงานของคอนเวอร์เจนท์ นิวส์รูม การผสานรวมทีมข่าวของสื่อหนังสือพิมพ์และทีวีเข้าด้วยกัน ทำให้เป็นทีมข่าวที่ใหญ่ที่สุดของสื่อในปัจจุบัน ภายหลังการปาฐกถาของนายสุทธิชัยเสร็จสิ้น น.ส.บุษกร ธนสมบูรณ์กิจ ผอ.สำนักบริหารความปลอดภัยด้านไอที จากเอไอเอส กล่าวในงานสัมมนาก้าวสู่สังคมไร้สายอย่างปลอดภัย ในหัวข้อมหันตภัยไร้สาย ภัยร้ายที่ต้องระวัง ว่า แฮ็กเกอร์เป็นสัจธรรมในชีวิต แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ปัจจุบันเรายังไม่มีความตื่นตัวในการป้องกันในสิ่งง่ายๆ ที่อาจมองข้าม ยกตัวอย่างเช่น การใช้ไวไฟที่เปิดให้ใช้ฟรี ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเราไม่ระวัง เห็นว่าเป็นของฟรี โดยไม่ดูว่า ไวไฟนั้นน่าเชื่อถือได้หรือไม่ เมื่อเปิดเข้าไปใช้โดยไม่ระวัง ข้อมูลของเราอาจถูกมิจฉาชีพดูดไปแล้ว ด้านดร.วรัญญู สุจิวรพันธ์พงศ์ ผู้ช่วยกรรมการธนาคารอิสลาม กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีเครื่องมือป้องกันการถูกแฮ็กอย่างเป็นระบบ แต่สิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือ ลูกค้า และประชาชนมากกว่า โดยประเด็นสำคัญที่ต้องการชี้ให้เห็นคือ การละเลยเรื่องการป้องกันสิ่งที่ใกล้ตัว เช่น การป้องกันเกี่ยวกับข้อมูลพาสเวิร์ด ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เราไม่ควรใช้เลขพาสเวิร์ดที่จำง่าย หรือใกล้ตัวเกินไป มิฉะนั้นอาจมีคนมาเยี่ยมเยียนด้วยการขโมยข้อมูลทางธุรกรรมเราไปได้ เช่นเดียวกับพ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ภัยจากอินเทอร์เน็ตมีทุกรูปแบบ ดังนั้นเราควรหาแนวทางป้องกันให้ดีที่สุดอย่างไรมากกว่า เพราะหากเราถูกโจรกรรมด้านข้อมูล เป็นเรื่องยากในการติดตามจับกุม ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ เราไม่ควรให้ใครได้เข้าใกล้ข้อมูล หรือใช้โทรศัพท์มือถือโดยไม่จำเป็น เพราะไม่มีใครทราบว่า วันดีคืนดีเราอาจจะถูกดูดข้อมูลไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ เราต้องเป็นที่พึ่งของตนเองโดยใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ นายอารินทน์ แคร่า ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี กล่าวว่า มือถือเป็นช่องโหว่ที่ถูกโจมตีได้ง่ายที่สุด เพราะมือถือไม่มีระบบป้องกันเหมือนกับคอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยสิ่งที่เราไม่ควรทำที่สุดคือ การดาวน์โหลดเว็บแปลกปลอม หรืออีเมลแปลกปลอมที่เราไม่รู้จัก เพราะหากไปดาวน์โหลด หรือเปิดเมลดังกล่าว อาจทำให้พวกมิจฉาชีพสามารถรู้ข้อมูลคุณทุกอย่าง ดังนั้นเราควรป้องกัน โดยเริ่มจากตัวเราด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยการไม่เปิดรับอีเมล หรือเว็บแปลกปลอมที่เราไม่รู้ว่าเป็นของใคร ขณะที่ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. กล่าวว่า กสทช.มีหน้าที่วางระบบ และวางกติกา การแก้ไขมหันตภัยไร้สาย ส่วนตัวอยากจะพูดเกี่ยวกับปัญหาภัยเชิงโครงสร้างองค์กรรัฐ โดยเฉพาะการปรับตัวเกี่ยวกับเรื่องการประสานงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องหากมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ากฎหมายและข้อกำหนดของแต่ละองค์กรมีความแตกต่างกัน ดังนั้นทุกฝ่ายควรปรับเข้ากัน เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาให้เร็วมากขึ้น จึงอยากเน้นย้ำในเรื่องการประสานงานของแต่ละองค์กร | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ช่างติดตั้งเสาทีวี ช.การไฟฟ้า วันที่ตอบ 2013-01-27 10:51:16 |
ความคิดเห็นที่ 5 (3306770) | |
นายนิพนธ์ นาคสมภพ นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) กล่าวภายหลังนำสมาชิกผู้ประกอบการทีวีดาวเทียม 90 ช่อง รวมถึงช่องทีวีดาวเทียมในเครือเนชั่นกรุ๊ป 5 ช่อง ประกอบด้วย เนชั่น แชนแนล, คมชัดลึกทีวี, กรุงเทพธุรกิจทีวี, คิดโซนทีวี และ SEA แชนแนล ไปยื่นเอกสารเพื่อขอรับใบอนุญาต "ช่องรายการ" ประเภทกิจการไม่ใช้คลื่นความถี่จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าต้องการให้ กสทช. ทบทวนหลักเกณฑ์ที่จะบังคับใช้กับผู้ประกอบการทีวีดาวเทียม โดยเฉพาะการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ รวม 4% ต่อปี ซึ่ง กสทช.ควรเก็บผ่านระบบเรตติ้งผู้ชม หากมีผู้ชมจำนวนมากและรายได้สูงก็จ่ายมากกว่าช่องที่มีเรตติ้งและรายได้ต่ำ ทั้งนี้ การจัดเก็บค่าธรรมเนียมรวม 4% จากรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายถือว่าไม่ถูกต้อง หากจะจัดเก็บควรคิดตัวเลขหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว อีกทั้งเป็นการจัดเก็บที่ซ้ำซ้อนกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่ายในอัตรา 7% ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นท่ามกลางการแข่งขันสูงของธุรกิจทีวีดาวเทียมในปัจจุบัน ด้านนายวรินทร์ เทียมจรัส ที่ปรึกษา สมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปี 2% ของรายได้ และการเก็บเงินสมทบกองทุนพัฒนากิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เพื่อประโยชน์สาธารณะ (เงินสมทบกองทุนฯ) ในอัตรา 2% รวมเป็น 4% เป็นการจัดเก็บที่ซ้ำซ้อนและเป็นภาระต่อผู้ประกอบการ รวมทั้งการกำหนดเวลาโฆษณาก็ไม่เป็นธรรม ซึ่งสมาคมต้องการให้ กสทช. เร่งพิจารณาแก้ปัญหาเกี่ยวกับข้อกฎหมายของประกาศ กสทช. ทุกฉบับตามที่สมาคมเสนอและเร่งออกใบอนุญาตให้บริการทีวีดาวเทียมกับสมาชิกสมาคมทุกช่องภายในสิ้นปีนี้ "หาก กสทช.ไม่ดำเนินการ และไม่มีข้อยุติในข้อเสนอที่สมาคมเรียกร้อง สมาชิกจะหารือเพื่อกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนต่อไป โดยช่องทางที่สามารถดำเนินการได้ คือการยื่นฟ้องร้องให้ศาลปกครอง เป็นผู้พิจารณาตัดสินต่อไป" นายวรินทร์กล่าว ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช. ในฐานะประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า บอร์ดกระจายเสียงจะพิจารณาประเด็นข้อเรียกร้องที่สมาคมเสนอมา ส่วนเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและเงินสมทบกองทุนฯ เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม กสทช. จะพิจารณาเรื่องการเก็บเงินค่าธรรมเนียมและเงินสมทบรวมกัน 4% หลังจากผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบใบอนุญาตและประกอบกิจการไปแล้ว 1 ปี เพื่อใช้เป็นข้อมูลการศึกษาว่าผลการดำเนินกิจการตามกฎกติกาที่วางไว้เหมาะสมหรือไม่ และต้องปรับแก้อย่างไร
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ช่างติดตั้งจานดาวเทียม ช.การไฟฟ้า วันที่ตอบ 2013-01-27 13:04:21 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1057006 |